18 กันยายน 2553

บทที่ 10 การสร้างความสุข และวิธีการสร้างสุขตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง


บทความหลักการสร้างความสุขสำหรับชีวิต
โดย อ.ปรเมศร์ กลิ่นหอม

การปฏิบัติตัวตามหลักพระพุทธศาสนาซึ่งสามารถปฏิบัติตามได้ง่ายโดยไม่พิสดารเพื่อสร้างความสุข หลักนั้นคือความสุขของคฤหัสถ์ ซึ่งเป็นความสุขทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษาเพื่อการเตรียมตัวทำงานในอนาคต ผู้เขียนจึงนำหลักการนั้นมาใว้ให้นักศึกษาแต่ละคนฝึกปฏิบัติต่อไปให้สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน โดยเรียงตามลำดับดังนี้ คือ
1. อัตถิสุข สุขเกิดจากการมีทรัพย์ ความสุขสิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การทำงาน สร้างฐานะ เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ (เงินทอง) อันจะบันดาลให้มีคามสุข โดยหากนักศึกษาจบการศึกษาหรือกำลังขาดแคลนทุนทรัพย์อยู่นั้นก็สามารถใช้แนวทางนี้คือให้ทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ อย่าดูหมิ่นว่างานนั้นเงินน้อยหรือลำบากเพราะสิ่งที่ทำให้ดำรงอยู่ได้ล้วนมาจากการทำงานหาใช่การนั่ง นอน รอกินอย่างเดียวไม่ ขอเพียงให้งานนั้นเป็นงานสุจริตไม่เบียดเบียนผู้อื่นและไม่ผิดกฏหมายศีลธรรม
2. โภคสุข สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ เมื่อมีทรัพย์ ต้องรู้จักใช้จ่ายบำรุงตนเอง ครอบครัว ให้พอเหมาะพอควร ไม่ตระหนี่เกินไป ไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป คือ ไม่เกินตัว และให้มีเหลือเก็บไว้บ้าง หลักง่ายๆคือ แบ่งเป็น 4 ส่วน 1 ส่วนใช้ดูแลตนเองและทำบุญ 2 ส่วนใช้ในการทำธุรกิจหรือนำไปสร้างมูลค่าเพิ่ม 1 ส่วนใช้ออมทรัพย์ ทรัพย์เหล่านั้นก็จะออกดอกผล และมีพอใช้ ทั้งนี้พึงระลึกถึงสิ่งสำคัญคือต้องพยายาม ทนต่อแรงยั่วยุกับอบายมุขที่ทำให้เสียทรัพย์ เช่น นักเลงพนัน สุรา เละเที่ยวกลางคืน เป็นต้น
3. อนณสุข สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้สิน เพราะฉะนั้น อย่าพยายามก่อหนี้ยืมสินผู้อื่น นอกจากจะดอกเบี้ยทวีคูณแล้ว ผู้เป็นหนี้ย่อมทุกข์ทนจากการถูกเจ้าหนี้บีบบังคับ อาจทำให้เครียด หรือเป็นไมเกรนได้โดยง่าย
4. อนวัชชสุข สุขเกิดจากการประกอบอาชีพสุจริต การทำงานหาเลี้ยงชีพ ต้องเป็นงานที่ต้องสุจริตไม่ผิดกฎหมาย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้สังคม งานครู งานอบต.และอาชีพอื่นๆที่ทำแล้วไม่เกี่ยวการฆ่า ไม่เกี่ยวกับการผิดศีลธรรมอื่นๆ ที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน อาชีพนั้นเป็นอาชีพที่นำความสุขมาให้
นอกจากนี้หากจะดำรงตนให้อยู่ในหลักความสุข 4 อย่าง ที่กล่าวไปแล้วนั้นจำเป็นต้องเพิ่มการฝึกตนให้อยู่ในฆราวาสธรรมหรือหลักปฏิบัติของชาวบ้านที่ทำให้เดินในทางแห่งความสุข ดังที่ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต).(2546).ระบุไว้ดังนี้
1.สัจจะ คือ ความจริง, ซื่อตรง, ซื่อสัตย์, จริงใจ, พูดจริง, ทำจริง
2.ทมะ คือ การฝึกฝน, การข่มใจ, ฝึกนิสัย, ปรับตัว, รู้จักควบคุมจิตใจ, ฝึกหัดดัดนิสัย แก้ไขข้อบกพร่องปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา (วิธีการพัฒนาตนก็อยู่ในหลักธรรมข้อนี้)
3.ขันติ คือ ความอดทน ตั้งหน้าทำหน้าที่การงานด้วยความขยันหมั่นเพียร เข้มแข็ง ทนทาน ไม่หวั่นไหว มั่นในจุดหมายไม่ท้อถอย
4.จาคะ คือ ความเสียสละ, สละกิเลส สละความสุขสบายและผลประโยชน์ส่วนตนได้ ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังความทุกข์ ความคิดเห็นและความต้องการของผู้อื่นพร้อมที่จะร่วมมือช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่คับแคบเห็นแก่ตนหรือเอาแต่ใจตัว
จากหลักธรรม 2 หลักการในเบื้องต้นสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตตาแนวเศรษฐกิจพอเพียงคือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาทโดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผนการตัดสินใจและการกระทำ (อ้างอิงจาก http://nan.doae.go.th/nan09/genaral/phorpuing.htm)ในส่วนของความพอประมาณ (มีทรัพย์ ใช้จ่ายตามที่มี ไม่เป็นหนี้เกินตัวและนำทรัพย์นั้นมาประกอบอาชีพสุจริต)มีเหตุผล (แก้ไขข้อบกพร่องปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา)และสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว (พูดจริง, ทำจริง,ปรับตัว, รู้จักควบคุมจิตใจ,อดทน,เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่) ข้อเพิ่มเติมที่สำคัญคือความพอเพียงของแต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละประเทสไม่เหมือนกัน จึงควรศึกษาให้รอบด้านก่อนนำมาลงมือทำ หากสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตนักศึกษาก็จะพบความสุขตั้งแต่เริ่มลงมือทำจนความสุขในเป้หมายชีวิตสูงสุดได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละคนครับ

อ้างอิง
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต).(2546).พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม .กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
http://nan.doae.go.th/nan09/genaral/phorpuing.htm